Future Curiosity Lab: อนาคตที่เลือกด้วยกัน สร้างด้วยกัน
หน่วยวิจัยเพื่อเสริมสร้างความสามารถด้านการมองอนาคตเชิงกลยุทธ์ของ Bangkok City Lab
ผู้เขียน: ศรานนท์ ลิ้มปานานนท์
ภาพ: zerotwostudio
ทุกวัน ชาวกรุงเทพฯ หลายล้านคนทุ่มพลังไปกับการรับมือปัญหาตรงหน้า ไม่ว่าจะเป็นรถติด น้ำท่วม ฝุ่นพิษ มอเตอร์ไซค์บนทางเท้า ค่าครองชีพที่พุ่งสูง กินอะไรกันดี หรือแค่งานที่ต้องส่งให้ทันกำหนด สิ่งเหล่านี้สำคัญและเร่งด่วน แต่เมื่อโฟกัสแต่กับความเร่งด่วน ณ ปัจจุบัน เราอาจลืมไปว่า หลายปัญหาที่พบเจอวันนี้ เป็นผลจากการตัดสินใจของวันวาน และหลายการแก้ปัญหาวันนี้ ก็กำลังจะกลายเป็นปฐมบทของปัญหาอันเร่งด่วนครั้งใหม่ในวันพรุ่ง
เพื่อทำความเข้าใจในผลกระทบในอนาคตที่ตามมาจากการตัดสินใจในปัจจุบัน จำเป็นที่เมืองต้องมีกลไกในการมองไปข้างหน้าอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่เพื่อทำนายอนาคตแบบอ่านดวงเมือง แต่เพื่อทำความเข้าใจว่า “อะไรเป็นไปได้” และใช้ความเข้าใจนั้นเป็นเครื่องมือสำรวจทิศทางไปสู่อนาคตที่ชาวเมืองเลือกและสร้างไปด้วยกัน
Future Curiosity Lab ถูกก่อตั้งขึ้นในปี 2568 เป็นหน่วยงานวิจัยและพัฒนาภายใน (Internal R&D Unit) สังกัด Bangkok City Lab ทำหน้าที่เป็นห้องทดลองความอยากรู้ เพื่อตั้งคำถามที่นำไปสู่การทำความเข้าใจความเป็นไปได้ของมหานครในอนาคต และใช้ความเข้าใจนั้นเป็นเครื่องมือในการออกแบบการเดินทางอย่างมีวิสัยทัศน์
บทความนี้จะชวนทุกท่านมาทำความรู้จักกับ Future Curiosity Lab ห้องปฏิบัติการอนาคตเมือง – ห้องทดลองขนาดย่อม ภายใต้การกำกับดูแลของ Bangkok City Lab ศูนย์ทดลองเมืองของกรุงเทพมหานคร ที่เชื่อว่าการ “มองไกล” คือส่วนประกอบสำคัญของการแก้ปัญหาระยะใกล้ ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นได้อย่างยั่งยืน
ความจำเป็นเชิงกลยุทธ์: ทำไมต้องมีหน่วยงานมองอนาคต?
ในการทำงานของภาครัฐ หน่วยงานต่าง ๆ ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้ทันงบประมาณ ทันแผนงาน ทันความคาดหวังของสังคม ซึ่งเป็นภารกิจที่สำคัญ หลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่เมืองใหญ่ที่เผชิญกับความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว ซับซ้อน และเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน จำเป็นต้องมีมุมมองแบบใหม่เพิ่มเข้ามา มุมมองที่ "ถอยออกมา" และ "มองไกลขึ้น" เพื่อหาความเป็นไปได้ของแนวทางการพัฒนาอย่างยืดหยุ่นและรอบคอบ อาจจะไม่ใช่งานสำคัญเฉพาะหน้าเหมือนการต่อเรือ พายเรือ หรือซ่อมเรือ แต่เป็นการสำรวจเพื่อทำแผนที่การเดินเรือ
หลายครั้ง ปัญหาวันนี้เกิดจากการขาดทางเลือกที่เหมาะสมในวันก่อน และหากเราอยากเปลี่ยนอนาคต เมืองจำเป็นต้องมี "พื้นที่" ที่คอยตั้งคำถามใหญ่ ๆ ล่วงหน้า และกล้าคิดแบบที่ระบบปกติมักไม่มีเวลาพอจะคิด
ภารกิจของ Future Curiosity Lab คือการเติมเต็มช่องว่างนั้น ด้วยการตั้งคำถามเชิงลึก สำรวจแนวโน้ม วิเคราะห์พลวัตของระบบเมือง และทดลองเชิงระบบ เพื่อช่วยให้เมืองมองเห็นภาพระยะยาว และค้นหา "จุดคานงัด" (leverage points) ที่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างได้อย่างมีพลัง
Future Curiosity Lab: แนวคิด แนวทางการทำงาน
สำนักงานของ Future Curiosity Lab ตั้งอยู่ที่มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช สามเสนสิบสาม ส่วนห้องทดลองของ Future Curiosity Lab นั้นอยู่ตามท้องถนน ชุมชน และในความหลากหลายของผู้คนทั่วกรุงเทพมหานคร
แนวทางการใช้เมืองเป็นห้องทดลองนี้จะช่วยสร้างมุมมองเชิงกลยุทธ์ระยะยาวให้คณะทำงานเมือง สามารถรับมือกับความเสี่ยงจากแนวโน้มใหม่ ๆ และความไม่แน่นอนได้ดีขึ้น รวมถึงช่วยค้นหาโอกาสที่อาจถูกมองข้ามหากดูแค่บริบทปัจจุบัน ซึ่งท้ายที่สุด จะช่วยลดผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์ในอนาคตได้ (ลดการสร้างปัญหาใหม่จากการแก้ไขปัญหาปัจจุบัน ที่มาจากการแก้ปัญหาก่อนหน้า)
กล่าวโดยเจาะจง การมีหน่วยงานที่มองอนาคตด้วยวิธีนี้ จะช่วยให้:
- ลดความเสี่ยงที่มองไม่เห็น: ช่วยระบุและเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายหรือวิกฤตที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้ดีขึ้น
- เพิ่มทางเลือกที่มีคุณภาพ: การเข้าใจภาพอนาคตที่หลากหลาย (scenarios) เปิดโอกาสให้เลือกเส้นทางพัฒนาเมืองที่รอบคอบและมีประสิทธิภาพสูงสุด
- สร้างความยั่งยืนอย่างแท้จริง: สนับสนุนการตัดสินใจที่คำนึงถึงผลกระทบระยะยาว
Future Curiosity Lab จึงไม่ได้เกิดขึ้นเพราะระบบเดิมของเมืองบกพร่อง และไม่ได้เข้ามาเพื่อทดแทนหน่วยงานใด ๆ แต่เข้ามาเพื่อ "เสริมสร้าง" ขีดความสามารถให้เมืองรับมือกับความซับซ้อนและความไม่แน่นอนที่เพิ่มสูงขึ้นในศตวรรษที่ 21
วิธีวิทยา: 'ความอยากรู้' ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและระบบ
คำว่า "Curiosity" ในชื่อ Future Curiosity Lab ไม่ใช่แค่ชื่อกลาง แต่สะท้อนระเบียบวิธีที่ใช้ในการทำงาน Future Curiosity Lab ใช้กระบวนการที่มีระเบียบวินัยและเป็นระบบในการสืบค้นและทำความเข้าใจอนาคต ประกอบด้วย:
- การวิเคราะห์ข้อมูลและสัญญาณการเปลี่ยนแปลง: รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ พร้อมกับตรวจจับสัญญาณขนาดเล็ก ที่อาจบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงในอนาคต
- การพัฒนาฉากทัศน์อนาคต: สร้างภาพอนาคตที่เป็นไปได้อย่างน้อย 3-4 ฉากทัศน์ เพื่อใช้ทดสอบกลยุทธ์ นโยบาย และการเตรียมความพร้อมในหลายเส้นทาง
- การออกแบบเชิงระบบ: ใช้แนวคิดเชิงระบบ (systems thinking) เพื่อทำความเข้าใจความเชื่อมโยงของปัจจัยต่าง ๆ ในระบบนิเวศเมือง และระบุ "จุดคานงัด" (leverage points) ที่สามารถสร้างผลกระทบเชิงระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อมูลเชิงลึกและข้อเสนอแนะเชิงกลยุทธ์ที่ได้จากกระบวนการเหล่านี้ จะกลายเป็น “ปัจจัยนำเข้า” (strategic inputs) สำคัญ ที่ช่วยให้ Bangkok City Lab สามารถนำไปใช้ในการออกแบบโครงการนำร่อง (pilot projects) การทดลองนวัตกรรม หรือการกำหนดนโยบายที่สอดคล้องกับบริบทของอนาคตที่กำลังจะมาถึง
ความเชื่อมโยง: Future Curiosity Lab × BANGKOK CITY LAB ทำงานร่วมกันอย่างไร
Future Curiosity Lab ถูกออกแบบมาเพื่อเติมเต็มมิติเชิงกลยุทธ์ระยะยาวให้กับการพัฒนาเมือง โดยมีบทบาทที่ส่งเสริมและแตกต่างจากหน่วยงานปฏิบัติการอื่น ๆ ของกรุงเทพมหานคร และทำงานร่วมกับหน่วยงานแม่อย่าง Bangkok City Lab ดังนี้:
- Future Curiosity Lab ทำหน้าที่เป็นผู้ 'สำรวจ' และให้ข้อมูล (Provides Inputs): มุ่งเน้นการทำความเข้าใจแนวโน้ม ตั้งคำถามล่วงหน้า สร้าง 'แผนที่ความเป็นไปได้' (possible futures) และให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับทางเลือก ความเสี่ยง โอกาส และเงื่อนไขของการเปลี่ยนแปลงในระยะยาว
- Bangkok City Lab ทำหน้าที่ 'ขับเคลื่อน' และ 'ทดลอง' (Acts & Experiments): นำข้อมูลเชิงลึกและ 'แผนที่ความเป็นไปได้' จาก Future Curiosity Lab มาใช้เป็นฐานข้อมูลสำคัญในการออกแบบ วางแผน และลงมือทดลองโครงการนวัตกรรมต่าง ๆ เพื่อสร้างสรรค์อนาคตที่พึงประสงค์ (preferable futures) ให้เกิดขึ้นจริง
กล่าวอย่างกระชับคือ ในขณะที่ Future Curiosity Lab ช่วยให้เมือง "เห็น" ว่าอนาคตในรูปแบบต่าง ๆ อาจมีความเป็นไปได้เช่นไรบ้าง ทาง Bangkok City Lab ก็จะใช้ความรู้เหล่านั้นมาประกอบการตัดสินใจและลงมือทำเพื่อสร้างสรรค์สิ่งที่ "อยากให้" เกิดขึ้นจริงกับเมือง เป็นการทำงานที่สอดคล้องและเกื้อหนุนกันอย่างเป็นระบบ
จุดเริ่มต้น: คำถามใหญ่ที่ต้องสำรวจ
เพื่อให้การทำงานมีทิศทางและสร้างประโยชน์สูงสุด ในช่วงเริ่มต้น Future Curiosity Lab จะมุ่งเน้นการสำรวจและทำความเข้าใจใน 3 ประเด็นยุทธศาสตร์ แรงขับเคลื่อน (driving forces) ที่มีแนวโน้มว่าจะส่งผลต่อโครงสร้างของเมืองในวันหน้า และจำเป็นต้องเข้าใจเชิงระบบ ก่อนที่การเปลี่ยนแปลงจะสร้างผลกระทบเกินควบคุม
- Beyond Human Intelligence: ปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะเปลี่ยนโฉมเมืองอย่างไร?
สำรวจผลกระทบและความเป็นไปได้ใหม่ ของการพัฒนาและการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในหลากหลายมิติ เช่น การบริการสาธารณะ การบริหารจัดการเมือง โครงสร้างเศรษฐกิจและสังคม และชีวิตประจำวันของผู้คน - The Future of Labour: อนาคตของ 'งาน' และผลกระทบต่อโครงสร้างเมือง?
เมื่อนิยาม รูปแบบ และสถานที่ของการ 'ทำงาน' เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว (เช่น การทำงานระยะไกล, gig economy, automation) จะส่งผลกระทบต่อสถานะความเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของกรุงเทพฯ อย่างไรบ้าง? เรื่องนี้เกี่ยวโยงถึงการใช้พื้นที่ในเมือง (เช่น พื้นที่สำนักงาน ที่อยู่อาศัย) รูปแบบการเดินทาง ความต้องการทักษะใหม่ และโครงสร้างทางสังคมและเศรษฐกิจของเมืองในแง่มุมใดบ้าง? - The Cluster in the City: 'ชุมชนเมือง' ในยุคดิจิทัลจะเป็นอย่างไร?
ในวันที่เทคโนโลยีเชื่อมโยงผู้คนให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น แต่ก็อาจสร้างความห่างเหินได้ในเวลาเดียวกัน ชีวิตและความสัมพันธ์ของ 'ชุมชนย่อย' ที่หลากหลายในกรุงเทพมหานคร (เช่น ชุมชนในซอย ย่านเก่า กลุ่มคนที่มีความสนใจเฉพาะทาง) จะมีรูปแบบอย่างไรในอนาคต? เทคโนโลยีจะส่งเสริมหรือลดทอนอัตลักษณ์และความเข้มแข็งของชุมชนเหล่านี้? และเมืองจะสามารถออกแบบพื้นที่หรือบริการเพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงนี้ได้อย่างไร?
คำถามเหล่านี้เป็นสมการที่ต้องเริ่มคำนวณตั้งแต่วันนี้ การทำความเข้าใจให้รอบด้าน จะช่วยให้เมืองมีทางเลือก และมีความสามารถในการออกแบบอนาคตที่พึงประสงค์ไปพร้อมกับแรงขับเคลื่อนเหล่านี้ได้จริง
ทิศทางการพัฒนา: ก้าวเล็ก ๆ ที่เริ่มสร้างการเปลี่ยนแปลง
ในระยะ 1-2 ปีแรก Future Curiosity Lab จะมุ่งเน้นการพัฒนาขีดความสามารถภายใน (internal capacity building) ประกอบด้วย การพัฒนากระบวนการทำงาน การสร้างทีม และการสร้างกลไกการทำงานร่วมกับ Bangkok City Lab อย่างมีประสิทธิภาพ
ผลลัพธ์ที่คาดหวังในระยะยาวคือ Future Curiosity Lab จะสามารถส่งต่อข้อมูลเชิงลึก และข้อเสนอแนะเชิงกลยุทธ์ที่มีคุณภาพ ให้กับ Bangkok City Lab เพื่อใช้ในการสนับสนุนการตัดสินใจของคณะทำงานเมืองและกำหนดทิศทางการพัฒนาของกรุงเทพมหานครให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงและสามารถสร้างอนาคตที่พึงประสงค์ได้อย่างยั่งยืน
การเปลี่ยนแปลงที่ดี เริ่มจากคำถามที่ถูกต้อง และการคิดไกลอย่างมีวินัย
เพราะในท้ายที่สุด “อนาคตที่พึงประสงค์” ของเมือง ไม่ได้เกิดจากเพียงการคาดหวัง
แต่ต้องถูกสร้างขึ้นอย่างเข้าใจ ตั้งใจ ร่วมกัน
บทสรุป: อย่ามองข้ามตัวเอง
Future Curiosity Lab เกิดขึ้นเพื่อมองเมืองได้ไกลขึ้น และเห็นความเป็นไปได้ที่อาจถูกมองข้าม
เราทำความเข้าใจสัญญาณจากแนวโน้มเล็ก ๆ
ฟังเสียงของผู้คนที่ถูกมองข้าม
ตั้งคำถามกับประเด็นที่ถูกมองข้าม
ตั้งโจทย์ของการแก้ไขปัญหาที่ถูกมองข้าม
ทั้งหมดเพื่อออกแบบเมืองให้รอบด้านและเท่าทันอนาคตมากขึ้น เพราะสุดท้ายแล้ว ผู้คนที่จะอยู่ในเมืองที่กำลังเปลี่ยนแปลง ก็คือ "ตัวเราในเวอร์ชันถัดไป" ที่จะต้องเปลี่ยนแปลงไปกับในอนาคตของเมืองนั่นเอง
*หากแนวคิดบางส่วนในบทความนี้จุดประกายความสนใจของท่าน และต้องการหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเครื่องมือและแนวทางการมองอนาคต เราขอแนะนำแหล่งข้อมูลเบื้องต้นดังนี้:
- Bell, Wendell. (2003). Foundations of Futures Studies: Human Science for a New Era (Vol. 1 & 2). Transaction Publishers.
- Manzini, Ezio. (2015). Design, When Everybody Designs: An Introduction to Design for Social Innovation. MIT Press.
- Meadows, Donella H. (2008). Thinking in Systems. Chelsea Green Publishing.
- Schwartz, Peter. (1991). The Art of the Long View: Planning for the Future in an Uncertain World. Doubleday.
- Senge, Peter M. (2006). The Fifth Discipline: The Art & Practice of The Learning Organization. Doubleday.
- Stroh, David Peter. (2015). Systems Thinking for Social Change: A Practical Guide to Solving Complex Problems, Avoiding Unintended Consequences, and Achieving Lasting Results. Chelsea Green Publishing.
- Van der Heijden, Kees. (2005). Scenarios: The Art of Strategic Conversation (2nd Edition). Wiley.