พื้นที่สาธารณะที่ลื่นไหลคือโอกาสของการแก้ปัญหาการใช้ทางเท้าร่วมกันในเมือง

Adaptive Pedestrian Way:
An Alternative Approach to the Walkway Space Dilemma

ในฐานะองค์ประกอบพื้นฐานของโครงสร้างเมือง “ทางเท้า” มักถูกเข้าใจว่าเป็นเพียงพื้นที่สัญจรของคนเดินเท้า แต่ในความเป็นจริงของกรุงเทพมหานคร ทางเท้ากลับทำหน้าที่มากกว่านั้น "พื้นที่สาธารณะแบบยืดหยุ่น" (Adaptive Pedestrian Way) สู่การตั้งคำถามใหม่ต่อความยืดหยุ่น ความเป็นธรรม และคุณค่าของพื้นที่สาธารณะร่วมสมัย อย่างราบรื่นร่วมกัน

ผู้เขียน: ณัฐวุฒิ อัศวโกวิทวงศ์, ณัฐวดี สัตนันท์
ภาพ: Bangkok City Lab

ข้อมูลการสำรวจในปี 2566 ระบุว่ามีผู้ค้าขายบนทางเท้ากว่า 8,000 ราย สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของเศรษฐกิจนอกระบบที่ฝังตัวอยู่ในเนื้อเมือง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ขาดแคลนโอกาสหรือมีต้นทุนในการเข้าถึงพื้นที่เชิงพาณิชย์อย่างเป็นทางการ  แม้ในอุดมคติ ทางเท้าควรถูกออกแบบให้เป็นพื้นที่สัญจรที่ปลอดภัย เป็นระเบียบ และเข้าถึงได้โดยไม่ถูกรบกวน แต่ในความเป็นจริง ทางเท้าคือ “พื้นที่เปลี่ยนผ่าน” ระหว่างชีวิตประจำวันของคนเมืองกับความจำเป็นทางเศรษฐกิจของผู้ค้ารายย่อย

จึงไม่ใช่เรื่องง่าย ที่จะ “จัดระเบียบ” ทางเท้า โดยไม่คำนึงถึงบริบทแวดล้อม  เพราะในหลายกรณี
การค้าขายบนพื้นที่ทางเท้าคือทางรอดของผู้คนที่ไม่มีทางเลือกอื่น และหลายจุดค้าขายยังสั่งสมคุณค่าทางวัฒนธรรมเฉพาะถิ่นมาอย่างยาวนาน

ในบริบทนี้ ทางเท้าจึงไม่ใช่พื้นที่ของการปะทะ แต่คือ “สนามออกแบบ” ที่ต้องชั่งน้ำหนักระหว่างการใช้งานที่หลากหลาย การรักษาคุณภาพชีวิตของผู้สัญจร และการยอมรับบทบาททางเศรษฐกิจที่ซ่อนอยู่ในโครงสร้างทางเดินของเมือง

เราจึงไม่อาจมอง “ทางเท้า” เป็นเพียงโครงสร้างทางกายภาพ หากแต่ต้องมองเป็นกลไกของระบบเมืองที่ซับซ้อน และเปิดพื้นที่ให้ตั้งคำถามว่า...

จะเป็นไปได้หรือไม่ ที่เราจะออกแบบทางเท้าให้รองรับทั้งการสัญจร และการอยู่รอดของคนในเมืองไปพร้อมกัน?


มาตรฐานพื้นที่สำหรับผู้ค้าริมทางในรูปแบบศูนย์อาหารราคาประหยัด

ในขณะที่เมืองพยายามจัดระเบียบพื้นที่สาธารณะให้เอื้อต่อการสัญจรอย่างเป็นระบบ หนึ่งในคำถามเชิงพื้นที่ที่ยังไร้คำตอบชัดเจน คือจะทำอย่างไรกับ “เศรษฐกิจริมทาง” ที่ไม่เพียงเป็นองค์ประกอบของวิถีชีวิต แต่ยังเป็นเส้นเลือดฝอยของเมืองที่หล่อเลี้ยงผู้คนระดับฐานราก

แนวคิดศูนย์อาหารราคาประหยัด (hawker center) จึงถูกเสนอในฐานะพื้นที่ขายอาหารขนาดย่อม (compact food zone) — พื้นที่ทางเลือกที่ตั้งอยู่ใกล้กับจุดค้าริมทางเดิม แต่ไม่รบกวนการสัญจรของผู้คน เป็นการออกแบบ “จุดสมดุลใหม่” ระหว่างสิทธิในการใช้พื้นที่สาธารณะกับสิทธิในการดำรงชีวิต

ถึงแม้แนวคิด hawker center ในฐานะพื้นที่สาธารณะเพื่อกิจกรรมเศรษฐกิจระดับฐานราก ยังคงเป็นสิ่งใหม่ในบริบทกรุงเทพมหานคร และปัจจุบันยังไม่มีกรอบกฎหมายหรือหลักเกณฑ์ชัดเจนในการจัดสรรพื้นที่สาธารณะสำหรับการค้าขายโดยตรง  แต่เพื่อรองรับความเป็นไปได้นี้ Bangkok City Lab จึงได้จัดทำ “มาตรฐานขององค์ประกอบ”  สำหรับการออกแบบพื้นที่ศูนย์อาหารราคาประหยัด โดยแบ่งองค์ประกอบออกเป็น 3 ส่วนหลัก ได้แก่

  • มาตรฐานด้านกายภาพ: การกำหนดมาตรฐานที่ครอบคลุมประเด็น ขนาดร้านค้า ความสูง ระยะเว้นว่างและระยะของการจัดวางร้านค้า ความกว้างของทางเดิน แสงสว่าง และมาตรการความปลอดภัย
  • มาตรฐานด้านสิ่งอำนวยความสะดวก: การกำหนดมาตรฐานของสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น จำนวนที่นั่ง ห้องน้ำ จุดบริการน้ำดื่ม พื้นที่ซักล้าง และจุดแยกขยะ เพื่อรองรับการใช้งานจริงอย่างเหมาะสมและถูกสุขลักษณะ

ภาพประกอบ 1: รูปแบบองค์ประกอบที่พึงมี

  • มาตรฐานตามขนาดพื้นที่: การกำหนดมาตรฐานแบ่งตามขนาดของพื้นที่ตามจำนวนผู้ค้า ได้แก่

S: พื้นที่ขนาดเล็ก (ไม่เกิน 20 ราย)

M: พื้นที่ขนาดกลาง (21–50 ราย)

L: พื้นที่ขนาดใหญ่ (มากกว่า 50 ราย)

ภาพประกอบ 2: การทดลองจัดสรรพื้นที่จากมาตรฐานในแต่ละขนาดของ hawker center

การจัดมาตรฐานในลักษณะนี้ไม่เพียงช่วยให้พื้นที่มีความเป็นระเบียบเท่านั้น  หากยังเป็นเครื่องมือเชิงออกแบบที่ช่วยให้เมืองสามารถจัดสรรพื้นที่สาธารณะเพื่อเศรษฐกิจไม่เป็นทางการได้อย่างมีระบบ และสอดคล้องกับคุณภาพชีวิตของประชาชนในทุกมิติ  เปิดโอกาสให้พื้นที่ริมทางกลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบเมืองที่ “ออกแบบได้” และ “เติบโตไปพร้อมกัน” กับระบบเศรษฐกิจในเมืองอย่างมีทิศทาง

ภาพประกอบ 3: ตัวอย่างการประยุกต์องค์ประกอบต่าง ๆ เข้าด้วยกัน


ออกแบบกลไกการเคลื่อนย้ายจุดค้า: สมการของ “ทำเล – โอกาส – ความยืดหยุ่น”

หนึ่งในโจทย์เชิงนโยบายที่ท้าทายไม่น้อยกว่าการจัดระเบียบทางเท้า คือการออกแบบ “กลไกการเคลื่อนย้ายผู้ค้า” ให้เกิดขึ้นได้จริง และอยู่บนฐานของความเป็นธรรม  Bangkok City Lab ได้สร้างกระบวนการมีส่วนร่วมผ่านและกิจกรรมเชิงปฏิบัติการ (workshop) ร่วมกับผู้ค้าบางส่วนและเจ้าหน้าที่เทศกิจ เพื่อทดลอง
หาฉากทัศน์ของสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในพื้นที่จริง

จากการจำแนกบริบทในพื้นที่ต่าง ๆ พบว่าเงื่อนไขในการเคลื่อนย้ายผู้ค้านั้นไม่ได้มีคำตอบเดียว แต่ต้องอิงกับ “คุณลักษณะของทำเล” และ “ทรัพยากรที่มีอยู่รอบข้าง” ซึ่งสามารถสรุปออกมาเป็น 4 ลักษณะสถานการณ์และกลไกการเคลื่อนย้าย ได้แก่

  • A: ทำเลใหม่ดี + มีพื้นที่ของรัฐรองรับ
    สามารถย้ายได้ทันที หากมีการจัดเตรียมพื้นที่ให้พร้อมใช้งาน
  • B:  ทำเลใหม่ดี + มีพื้นที่ของเอกชนรองรับ
    เงื่อนไขสำคัญคือ “ค่าเช่า” ซึ่งอาจเกินความสามารถของผู้ค้า จำเป็นต้องออกแบบระบบสนับสนุน เช่น เงินอุดหนุน หรือความร่วมมือภาครัฐ-เอกชน
  • C:  มีพื้นที่ของรัฐรองรับ + แต่ทำเลไม่ดึงดูดคน
    จำเป็นต้องออกแบบเงื่อนไขใหม่ เช่น การปรับเส้นทางการสัญจร การเพิ่มกิจกรรม หรือสร้างจุดดึงดูด เพื่อกระตุ้นให้เกิดการไหลเวียนของผู้คนในพื้นที่นั้น
  • D:  ทำเลปัจจุบันดี + ไม่มีพื้นที่อื่นรองรับได้ใกล้เคียง
    แนวทางที่เป็นไปได้ คือการกำหนด “ระบบสลับเวลา” เพื่อให้ใช้พื้นที่ร่วมกันระหว่างกิจกรรมค้าขายและการสัญจร

ลักษณะสถานการณ์และกลไกการเคลื่อนย้ายทั้ง 4 ลักษณะนี้ เป็นเครื่องมือช่วยวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของการย้ายจุดค้า โดยไม่มองเพียงแค่พื้นที่ แต่มองถึง “เงื่อนไขของความเปลี่ยนแปลง” ที่สามารถออกแบบได้ ทั้งในเชิงกายภาพ เศรษฐกิจ และสังคม


พื้นที่สาธารณะแบบยืดหยุ่น: พื้นที่เอกลักษณ์และพื้นที่ตลาดวิถีชุมชน

ในเมืองที่มีข้อจำกัดด้านพื้นที่และทรัพยากร การสร้าง “ทางเลือกใหม่” ให้กับผู้ค้าริมทาง  ไม่สามารถพึ่งพาการจัดพื้นที่ใหม่เพียงอย่างเดียว หากแต่ต้องหันกลับมาทบทวนบทบาทของพื้นที่สาธารณะที่มีอยู่เดิมด้วย Bangkok City Lab นำแนวคิดเรื่อง พื้นที่สาธารณะแบบยืดหยุ่น (Adaptive Pedestrian Way) ซึ่งไม่ได้มองพื้นที่ทางเท้าในฐานะทางสัญจรแต่เพียงอย่างเดียว หากแต่เป็นพื้นที่ที่สามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชันให้สอดคล้องกับช่วงเวลา การใช้งาน และบริบทของผู้คนในพื้นที่ เช่น ในช่วงเวลาเร่งด่วน พื้นที่นั้นอาจทำหน้าที่หลักในการสัญจร แต่ในช่วงอื่นของวันหรือในบางวัน อาจกลายเป็นพื้นที่ตลาดวิถีชุมชนที่เปิดโอกาสให้เศรษฐกิจรายย่อยเกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ มาพัฒนาหลักเกณฑ์สำหรับการอนุญาตและลงทะเบียนผู้ค้าในพื้นที่สาธารณะ ที่มี “กติกาการใช้พื้นที่ร่วมกัน” ที่โปร่งใส ยืดหยุ่น และตอบโจทย์ของทุกฝ่าย  เพื่อให้เกิดพื้นที่ที่สร้างสรรค์ทั้งในเชิงเศรษฐกิจและวัฒนธรรม  ส่งเสริมเอกลักษณ์ของ street food ท้องถิ่น และการยกระดับประสบการณ์ของผู้ใช้พื้นที่ให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น

การออกแบบพื้นที่สาธารณะในลักษณะนี้ ไม่เพียงแต่ตอบโจทย์การใช้ประโยชน์หลากหลายรูปแบบ แต่ยังเป็นบทสนทนาใหม่ของเมืองที่กล้ายอมรับว่า “การใช้พื้นที่ซ้อนทับกัน” อาจไม่ใช่ปัญหาเสมอไป หากสามารถออกแบบกติกาให้การอยู่ร่วมกันเป็นไปอย่างราบรื่นและสร้างคุณค่าร่วมได้

การแก้ปัญหาการใช้ทางเท้าร่วมกันในเมือง  ไม่ได้เป็นเพียงการ “แก้ปัญหา” เท่านั้น หากแต่คือการตั้งคำถามใหม่ต่อความยืดหยุ่น ความเป็นธรรม และคุณค่าของพื้นที่สาธารณะในเมืองร่วมสมัย

หากเรากล้าที่จะมองทางเท้าเป็นมากกว่าโครงสร้างกายภาพ และเริ่มต้นออกแบบให้พื้นที่เล็ก ๆ เหล่านี้รองรับการอยู่ร่วมของผู้คนที่หลากหลาย เมืองอาจเปลี่ยนผ่านได้จากการ “ฟังให้ลึก และออกแบบให้ตรงใจ” — โดยเริ่มต้นจากจุดเล็ก ๆ ที่ใกล้ตัวเราเอง

Scroll to top