เมืองเปลี่ยนได้
ถ้าเราเริ่มจากจุดเล็ก ๆ
บทสัมภาษณ์ -ผศ.ดร. ณัฐวุฒิ อัศวโกวิทวงศ์
ผู้อำนวยการศูนย์การทดลองเมืองกรุงเทพมหานคร (Bangkok City Lab)
ผู้เขียน: ณัฐวดี สัตนันท์
ภาพ: Bangkok City Lab
ในเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยปัญหาแสนซับซ้อนอย่างกรุงเทพฯ หลายคนอาจรู้สึกว่า “เปลี่ยนแปลงอะไรคงยาก” เพราะไม่ว่าจะเป็นระบบขนส่ง ทางเท้า ความเหลื่อมล้ำ หรือแม้แต่การออกแบบพื้นที่สาธารณะ… ล้วนเป็นโจทย์ที่ใหญ่เกินกว่าจะจัดการได้ในคราวเดียว จนดูเหมือนต้องรอ “แผนแม่บท” หรือ “นโยบายระดับชาติ” เท่านั้นจึงจะหวังผลได้
แต่คุณเชื่อไหมว่า…บางครั้ง "การเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ" ก็สามารถเปลี่ยนเมืองได้จริง
นี่คือแนวคิดของ Bangkok City Lab – ห้องทดลองของเมืองหลวง ที่เปิดพื้นที่ให้ทดลองไอเดียใหม่ ๆ แบบยืดหยุ่น เรียนรู้เร็ว และปรับปรุงไว
ทำไมต้องมี BANGKOK CITY LAB?
“กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และโครงสร้างประชากร แต่ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไม่มีคู่มือสำเร็จรูป”
— ผศ.ดร. ณัฐวุฒิ อัศวโกวิทวงศ์
คำพูดนี้สะท้อนแก่นของปัญหาเมืองขนาดใหญ่อย่างกรุงเทพมหานคร ได้เป็นอย่างดี เมืองที่ไม่เพียงทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางประเทศ แต่ยังเป็นสนามของการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ในแทบทุกมิติ ทั้งโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนจากครอบครัวใหญ่สู่ครอบครัวเดี่ยว อัตราการเกิดที่ลดต่ำลง จำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการหลั่งไหลของแรงงานข้ามชาติที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานอย่างถาวร นอกจากนี้ วิถีชีวิตในเมืองหลวงยังต้องเผชิญกับภัยคุกคามใหม่ๆ อย่างปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น PM2.5 ที่กลายเป็นเรื่องใกล้ตัวในชีวิตประจำวัน
กรุงเทพฯ จึงเป็นภาพสะท้อนของเมืองที่มีพลวัตสูง และปัญหาที่เกิดขึ้นก็ซับซ้อนเกินกว่าจะจัดการด้วยวิธีการเดิม ๆ ได้อีกต่อไป เพราะสิ่งที่เมืองต้องเผชิญไม่ใช่แค่การบริหารสิ่งที่คุ้นเคย แต่คือการตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและไม่แน่นอน
“แทนที่จะเริ่มต้นด้วยโครงการใหญ่ที่กินพื้นที่และงบประมาณมหาศาล เราเลือกเริ่มจากการทดลองเล็ก ๆ ที่จับต้องได้ แล้วขยายผลในสิ่งที่เป็นไปได้ แนวทางแบบนี้ไม่เพียงลดความเสี่ยง แต่ยังสร้างบริการที่ 'ตรงใจ' และ 'ตอบโจทย์' ผู้ใช้งานจริงได้มากกว่าเดิม”
— ผศ.ดร. ณัฐวุฒิ อัศวโกวิทวงศ์
Bangkok City Lab จึงถือกำเนิดขึ้นในฐานะ 'ห้องทดลอง' ของเมือง พื้นที่ที่เปิดโอกาสให้ไอเดียเล็ก ๆ ถูกทดสอบกับกลุ่มเป้าหมายจริง วิเคราะห์ผลลัพธ์ เรียนรู้จากการลองผิดลองถูกอย่างรวดเร็ว และพร้อมต่อยอดขยายผลในวงกว้าง และทำหน้าที่เป็น ‘พื้นที่กลาง’ ที่เชื่อมโยงภาครัฐ ภาคเอกชน นักออกแบบ นักวิชาการ และประชาชนที่เป็นหัวใจของเมือง ให้มาร่วมกันทดลอง และค้นหาคำตอบในโจทย์ใหญ่ที่ว่า ‘เมืองควรเป็นอย่างไร’
เพราะสำหรับ Bangkok City Lab เมืองไม่ควรเป็นเรื่องของผู้เชี่ยวชาญเพียงกลุ่มเดียว แต่ควรเป็นเรื่องของ ‘ทุกคนที่อยู่ในเมือง’ และทุกคนควรมีสิทธิ์ในการทดลองและออกแบบอนาคตของเมืองร่วมกัน
เล็ก ๆ เปลี่ยนเมือง: Small Changes for Betterment
“เราไม่ได้ทดลองแบบสุ่ม แต่ทดลองอย่างมีเป้าหมาย เริ่มจากจุดเล็กที่เรียกว่า Leverage Point . . . เปลี่ยนน้อย แต่ส่งแรงกระเพื่อมได้มาก”
— ผศ.ดร. ณัฐวุฒิ อัศวโกวิทวงศ์
Bangkok City Lab เชื่อว่าเมืองที่ดีไม่ได้เริ่มจากโครงการใหญ่โตเสมอไป แต่เริ่มจากการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ที่ส่งแรงกระเพื่อมได้จริง เริ่มต้นจากจุดเล็กที่มีพลัง เช่น ป้ายรถเมล์ที่ใช้งานง่ายขึ้น วินมอเตอร์ไซค์ที่เป็นระเบียบ หรือศาลารอรถที่ออกแบบมาเพื่อผู้คน สิ่งเล็ก ๆ เหล่านี้ ทำให้ผู้ใช้เมืองรับรู้ได้ว่า ‘เมืองนี้ฟังเสียงฉันอยู่’ เพราะบางครั้งการขยับเพียงนิดเดียว ก็สร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างคาดไม่ถึง
หัวใจของศูนย์การทดลองเมืองแห่งนี้ คือ แนวคิด "Small Change for Betterment" — การเปลี่ยนแปลงที่มองหา "จุดคานงัด" (Leverage Point) จุดเล็ก ๆ ที่สามารถ ‘งัด’ ระบบเมืองให้ขยับได้จริงในระยะยาว
Small Change สำหรับ Bangkok City Lab จึงไม่ได้หมายถึงการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย แต่คือการมองหาจุดเล็ก ๆ ที่สร้างผลลัพธ์ยิ่งใหญ่ แทนที่จะทำโครงการขนาดใหญ่ด้วยงบประมาณมหาศาลในครั้งเดียว แนวคิดนี้จึงตั้งอยู่บนหลักการง่าย ๆ คือ ‘ใช้ทรัพยากรให้น้อยที่สุด แต่ให้เกิดผลมากที่สุด’ ทุกการทดลองจึงออกแบบอย่างมีเป้าหมาย เริ่มต้นจากพื้นที่เล็ก เก็บข้อมูลจากการใช้งานจริง นำผลลัพธ์มาปรับปรุงซ้ำ แล้วค่อยขยายผลไปยังพื้นที่ที่มีบริบทใกล้เคียง
การเปลี่ยนแปลงในระดับเล็กเช่นนี้ ไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยงจากการลงทุนขนาดใหญ่ แต่ยังทำให้เข้าใจชีวิตจริงของผู้คนได้ลึกขึ้น และสามารถออกแบบบริการที่ตอบโจทย์ได้มากกว่าเดิม Small Changes for Betterment จึงเป็นวิธีคิดที่เปลี่ยน ‘การพัฒนาเมือง’จากเรื่องไกลตัวให้กลายเป็นเรื่องที่จับต้องได้จริง และทำให้การส่วนร่วมในการขยับเมือง เริ่มต้นได้จากก้าวเล็ก ๆ ของทุกคน
BANGKOK CITY LAB ห้องวิจัย และสนามทดลองจริงของเมือง
Bangkok City Lab เป็นทั้งห้องวิจัยและ ‘สนามทดลองจริงของเมือง’ ที่เปิดพื้นที่ให้ได้ลองคิด ลองทำ และลองเปลี่ยนแปลงเมืองจากของจริง
โจทย์การทำงานของ Bangkok City Lab เริ่มต้นจากปัญหาที่กรุงเทพมหานครเผชิญอยู่จริง แต่ละปัญหากลายเป็นฐานตั้งต้นในการสร้างแนวทางการทำงานของศูนย์ ทั้งการพัฒนาบริการเดิมให้ดีขึ้น และการค้นหานวัตกรรมบริการใหม่ที่ตอบโจทย์ชีวิตเมืองมากกว่าเดิม และเพื่อจัดการกับความเปลี่ยนแปลงของเมืองอย่างรอบด้าน Bangkok City Lab จึงจัดโครงสร้างการทำงานออกเป็น 3 ห้องทดลองหลัก ที่แม้จะมีหน้าที่ต่างกัน แต่เชื่อมโยงกันด้วยเป้าหมายเดียวกัน
- Civic Design Lab – ออกแบบระบบบริการสาธารณะที่ดีขึ้น
แนวคิดของ Civic Design Lab คือ การออกแบบบริการสาธารณะให้ “ใช้งานง่าย” “มีประสิทธิภาพ” และ “ตอบความต้องการของผู้คนได้จริง” มุ่งเน้นการปรับปรุง “ประสบการณ์ของคนเมือง” กับบริการสาธารณะที่มีอยู่แล้ว เช่น ป้ายรถเมล์ที่อ่านเข้าใจง่ายขึ้น ระบบสัญญาณไฟข้ามถนนที่ปลอดภัยกว่า หรือแอปพลิเคชันที่เชื่อมโยงกับระบบเมืองได้อย่างลื่นไหล หลักสำคัญของ Civic Design Lab จึงไม่จำเป็นต้องออกแบบบริการใหม่ทั้งหมด แต่ใช้การปรับปรุงส่วนที่เป็นจุดอ่อนหรือข้อจำกัด เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีขึ้นสำหรับผู้คนในเมือง
- Social Catalyst Lab – เร่งปฏิกิริยาการเปลี่ยนเมืองผ่านผู้คน
Social Catalyst Lab มีแนวคิดว่า ‘การเปลี่ยนเมืองต้องเริ่มจากการเปลี่ยนวิธีคิดของคน ก่อนจะเปลี่ยนโครงสร้างทางกายภาพ’ ห้องทดลองนี้จึงมุ่งสร้างกระบวนการมีส่วนร่วม ไม่ว่าจะเป็นการฟังเสียงคนไร้บ้านเพื่อออกแบบที่พักของพวกเขาเอง หรือการเปิดพื้นที่ให้เยาวชนในชุมชนมีส่วนร่วมออกแบบกิจกรรมและบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการจริง เพราะในที่สุด เมืองที่ยั่งยืน คือเมืองที่ผู้คนรู้สึกเป็นเจ้าของการเปลี่ยนแปลงนั้น
- Place Solution Lab – เปลี่ยนพื้นที่ เมื่อให้เมืองน่าอยู่ขึ้น
Place Solution Lab คือห้องทดลองที่เชื่อว่า “บางปัญหาเมืองแก้ได้ด้วยการออกแบบพื้นที่ให้ชัดเจนขึ้น และคนจะเชื่อว่าเมืองเปลี่ยนได้ ถ้าเขาเห็นการเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นรูปธรรม เช่น ทางจักรยาน หรือสวนเล็ก ๆ ในชุมชน” แนวคิดการทำงานของ Place Solution Lab ใช้หลักการเปลี่ยนพื้นที่เล็ก ๆ ให้จับต้องได้ เป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นไปได้จริง ห้องทดลองนี้จึงเน้นการปรับปรุงพื้นที่กายภาพ เช่น สร้างทางจักรยาน หรือสร้างสวนสาธารณะขนาดเล็กในชุมชน เพื่อให้คนเมืองได้เห็น สัมผัส และเชื่อว่าพวกเขาเองก็มีส่วนร่วมในเมืองที่ดีขึ้น
สูตรลับของ BANGKOK CITY LAB
“ข้อผิดพลาดคือการเรียนรู้และโอกาส ไม่ใช่ความล้มเหลว คือข้อมูลสำคัญ ที่ช่วยให้เราไม่เสียทั้งเงิน เวลา และแรงไปกับสิ่งที่ไม่ตอบโจทย์ หรือสิ่งที่ไม่เหมาะกับเมืองหรือคนจริง ๆ ทุกครั้งที่ผิดพลาด เราจะได้เข้าใจเมืองและผู้คนชัดขึ้น และนั่นทำให้การเปลี่ยนแปลงเมืองเราจะดีขึ้นในทุก ๆ ครั้ง”
— ผศ.ดร. ณัฐวุฒิ อัศวโกวิทวงศ์
เมื่อพูดถึงการทดลอง สำหรับ Bangkok City Lab ความล้มเหลวไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว มันคือหน้าที่และความรับผิดชอบ เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลอันมีค่า ที่ช่วยให้เราได้รู้ว่าอะไรที่สิ่งเราควรแก้ไขและพัฒนา เพื่อให้เมืองดียิ่งขึ้น ทุกการทดลอง ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว จึงล้วนเป็นต้นทุนในการเรียนรู้และพัฒนาต่อไป
Bangkok City Lab เชื่อว่าทุกอย่างดีขึ้นได้ ผ่านการพัฒนา สูตรลับที่นำไปสู่ความสมบูรณ์แบบคือการ ‘กล้าทดลอง เปิดรับความคิดเห็น และปรับปรุงให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ’ การทดลองป้ายรถเมล์ใหม่อาจมีผลลัพธ์ที่ดีเพียง 30% ไม่ถือเป็นความล้มเหลว แต่คือบทเรียนสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่ายังมีอีก 70% ที่ต้องปรับปรุงให้ตอบโจทย์มากขึ้น ทุกข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น จึงไม่ได้สูญเปล่า แต่กลายเป็นฐานข้อมูลสำคัญ ที่ต่อยอดสู่การพัฒนาเมืองอย่างมีเป้าหมาย และเพิ่มโอกาสให้การเปลี่ยนแปลงในครั้งถัดไป "สำเร็จ" และเข้าใกล้ชีวิตเมืองที่ดีขึ้นได้มากขึ้นในทุกก้าว
เมืองที่ดี คือเมืองที่ทุกคนกล้าลอง
แม้วันนี้ Bangkok City Lab จะยังเป็นเพียง ‘ห้องทดลอง’ ของเมือง
แต่เมื่อ ‘วัฒนธรรมการทดลอง’กลายเป็นรากฐานใหม่ของการออกแบบเมืองในอนาคต
เมื่อการลองผิดลองถูก การเปิดรับเสียงจากผู้ใช้จริง และการเรียนรู้จากข้อผิดพลาด กลายเป็นเรื่องปกติ เมืองจะไม่หยุดนิ่ง และพร้อมปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
การเปลี่ยนเมืองจึงไม่จำเป็นต้องเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ แต่อาจเริ่มจาก ‘จุดเล็ก ๆ’ ที่ชวนให้ทุกคนกล้าคิด กล้าลอง และกล้าลงมือทำ เป็นการเปลี่ยนแปลงที่แม้เล็กน้อย แต่ส่งสัญญาณชัดเจนว่าเมืองนี้กำลังฟังเสียงของผู้คน และพร้อมเดินไปด้วยกัน
Bangkok City Lab จึงอยากเชิญชวนให้ทุกคนมาร่วม ‘ทดลองเมืองในแบบที่เราอยากอยู่’ ไปด้วยกัน
เพราะเมืองที่ดี... เริ่มต้นได้จากจุดเล็ก ๆ ที่เปลี่ยนแปลงได้จริง